2024 ปีแห่งอาหารญี่ปุ่น

 

 

คุณคุโรดะ จุน  (Kuroda Jun) ประธานเจโทรคนปัจจุบัน เผยข้อมูลร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยล่าสุดว่า ช่วง 15 ส.ค. 2566  ถึง 31 ต.ค. 2566 มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอาหารญี่ปุ่นในไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 8%

โดยประเภทร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจโทรสำรวจเก็บสติถิจะแบ่งเป็น  8 ประเภท ได้แก่ ร้านซูชิ, ร้านราเมง, ร้านสุกี้-ชาบู, ร้านบาร์ญี่ปุ่น,ร้านปิ้งย่างญี่ปุ่น, คาเฟ่ญี่ปุ่น, ร้านอาหารจานด่วนญี่ปุ่น และร้านชูโรงเมนูจานเดียว โดยประเภทร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเยอะที่สุด คือ ร้านซูชิ 

 

ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นเป็นนัยๆว่า ซูชิ เป็นเมนูที่เข้าถึงคนไทยได้ง่าย เพราะส่วนประกอบหลักของซูชิคือข้าวกับเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ เดิมทีวัฒธรรมของคนไทยตั้งแต่สมัยก่อน คือการบริโภคข้าวเป็นหลัก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เมนูซูชิจึงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่ชื่นชอบ

 

ส่วนปัจจัยหลักที่ทำให้แวดวงธุรกิจอาหารญี่ปุ่นเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้น คุณคุโรดะให้ความเห็นว่า เพราะวัตถุดิบสดใหม่และคุณภาพระดับพรีเมียมที่มีการนำเข้าโดยส่งตรงจากญี่ปุ่น สามารถครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทยแล้ว เมื่อเทคโนโลยีการขนส่ง โลจิสติกส์สมัยใหม่มากขึ้น ราคาการจัดส่งก็มีต้นทุนที่ลดลง

ส่งผลให้อาหารญี่ปุ่นมีราคาที่ย่อมเยามากขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าเฉลี่ยของราคาต่อคนในการการบริโภคอาหารญี่ปุ่นของคนไทยจะอยู่ที่ประมาณ 250 – 500 บาท

 

 

อีกทั้งสภาพตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยตอนนี้มีความเชื่อมโยงกับ ทฤษฎีเกมและดุลยภาพของแนช  (Nash equilibrium) ของ John nash ที่อธิบายพอสังเขปได้ว่า เมื่อมีคู่แข่งมากขึ้นแบรนด์ทุกแบรนด์ในร้านค้าประเภทเดียวกันจะรักษาและไต่ระดับให้ใกล้เคียงกัน และให้ผู้บริโภคเป็นผู้เลือกตามรสนิยมของตน ซึ่งสร้างโอกาสให้ในอนาคตผู้บริโภคมีแนวโน้มหมุนเวียนการใช้บริการทุกร้านค้า หรือ สรุปเพิ่มเป็นประโยคสั้นๆว่า “เป็นการแข่งขันที่ส่งเสริมกันและกัน”

ตอนนี้ประเทศไทยก็ขึ้นแท่นเป็นลำดับ 6 จาก 10 ประเทศที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากที่สุดในโลกเรียบร้อยแล้ว โดย TOP10 ที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยลำดับปัจจุบันจะเป็นดังนี้ 

1.จีน (78,760ร้าน) 2.สหรัฐฯ (26,040ร้าน) 3.เกาหลีใต้ (18,210ร้าน) 4.ไต้หวัน (7,440 ร้าน) 

5.เม็กซิโก (7,120 ร้าน) 6. ไทย (5,751 ร้าน) 7. ฝรั่งเศส (4,680 ร้าน) 8. แคนาดา (2,610 ร้าน) 9. อิตาลี (2,460 ร้าน) 10. ออสเตรเลีย (2,000 ร้าน) เป็นต้น

 

 

คุณคุโรดะยังทิ้งท้ายอีกว่า ตนเองและเจโทร ยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการต่างๆ ที่ขับเคลื่อนการค้า-การลงทุนธุรกิจอาหารญี่ปุ่นระหว่างประเทศ โดยหวังว่า อนาคตของวงการอาหารญี่ปุ่นในไทยจะมีรสชาติและวัตถุดิบเหมือนราวอยู่ที่ญี่ปุ่นจริงๆ เพื่อคนไทยโดยเฉพาะ

 

สุดท้ายนี้ Kabocha Sushi ขอสนับสนุนในแนวคิดการบุกเบิกวงการอาหารญี่ปุ่นในไทย และขอมีส่วนสร้างโอกาสการนำเข้าอาหารญี่ปุ่นคุณภาพพรีเมียมจากแหล่งที่ดีสุดในญี่ปุ่น โดยยึดมั่นอุดมการณ์ของแบรนด์ที่จะส่งต่อความรักและเติมความสุขผ่านอาหารญี่ปุ่นในทุกๆคำ

 

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก : https://www.thaipr.net/en/general_en/3231734