ปลามากุโระ เป็นชื่อเรียกปลาทูน่าขนาดใหญ่ของ ประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะสายพันธุ์ทูน่าครีบน้ำเงิน (Blue fin) เนื่องจาก คนญี่ปุ่น มีวัฒนธรรมกินปลาที่ไม่ปล่อยให้เหลือทิ้งจึงมีการนำปลาไปใช้ทั้งตัวตั้งแต่ส่วนหัวจรดส่วนหาง เพียงแต่เนื้อปลาที่ถูกตัดออกเป็นส่วน ๆ นั้น จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันเพื่อให้รู้ว่าเนื้อชิ้นนี้มาจากส่วนไหนของปลานั่นเองค่ะ ไม่เพียงแค่ชื่อที่ต่าง รสชาติ และราคายังต่างกันไปด้วยนะ แล้ววันโทโร่มาจากไหน มีความเป็นมาอย่างไร วันนี้ Kabucha Sushi จะมาเฉลย
จุดเริ่มต้นของวันโทโร่
โทโร่ เป็นชื่อส่วนต่าง ๆ ของ ปลามากุโระ ที่คนญี่ปุ่นนิยมทาน “วันโทโร่” จะตรงกับวันที่ 16 ของทุกเดือน ย้ำว่า ทุกเดือน!! จุดเริ่มต้นมาจากบริษัท Kappa Create Co., Ltd บริษัทที่ดำเนินกิจการ ชูชิ ต้องการให้ลูกค้ามีความสุขและเอร็ดอร่อย กับเนื้อปลาส่วนที่เป็นโทโร่โดยเฉพาะ แล้วทำไมต้องเป็นวันที่ 16 ล่ะ เหตุผลเพราะว่า คนญี่ปุ่น มักจะมีการเชื่อมชื่ออาหารจากการออกเสียง ภาษาญี่ปุ่น สำหรับวันโทโร่ มาจาก การนำเสียงคำหน้าของวันที่ 10 (ออกเสียง “โท”) และ วันที่ 6 (ออกเสียง “โระคุ”) แต่นำมาเฉพาะคำหน้า คือ “โระ” เมื่อรวมกันแล้วจึงมีชื่อเรียกว่า “โทโร่” คำที่เป็นส่วนหนึ่งของชื่อเรียกส่วนต่าง ๆ ของปลามากุโระ
หลังจากรู้จัก วันโทโร่แล้ว คราวนี้เรามาทำความรู้จัก ปลามารุโระ ในแต่ละส่วนกันเถอะ!!!
ชื่อเรียกส่วนต่าง ๆ ของปลามากุโระ มีอะไรบ้าง
ปลามากุโระ เป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย สามารถรับประทานได้ทุกส่วน และแต่ละส่วนจะให้รสสัมผัสที่ต่างกัน
ชูโทโร่ (Chutoro) เนื้อติดมัน
เนื้อปลาติดมันใกล้บริเวณส่วนท้องเยื้องไปทางโคนหาง ใครที่ชอบทานปลาที่มีไขมันแทรกนิด ๆ ติดมันหน่อย ๆ ไม่มีไขมันมากนักต้องชอบเนื้อปลาส่วนนี้มากแน่ ๆ ส่วนเนื้อจะออกอมชมพูไม่ออกสีแดง ทั้งยังมีเนื้อที่น้อยกว่าส่วน อากามิ ทำให้มีราคาของเนื้อส่วน ชูโทโร่ สูงกว่า สำหรับบริเวณส่วนหัวปลา เราเรียกว่า เซกามิ บริเวณเนื้อส่วนหลังติดเอ็นกรุบ ๆ เรียกว่า เซนะกะ และส่วนที่ด้านหลังค่อนไปทางหาง จะเรียกว่า เซซิโมะ โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของส่วนขอบ ชูโทโระ
โอโทโร่ (Otoro) เนื้อนุ่มชุ่มไขมัน
มาถึงเนื้อส่วนที่มีราคาแพงมากที่สุดกันบ้างค่ะ เราเรียกเนื้อส่วนนี้ว่า “โอโทโร่” จะพบแค่บริเวณส่วนท้องที่อวบอ้วนอันน้อยนิด ของทูน่าเท่านั้น โดยเนื้อบริเวณเหงือก เรียกว่า ฮารากามิ และบริเวณหน้าท้อง เรียกว่า ฮารานากะ ซึ่งโอโทโร่ จะอยู่ระหว่างฮารากามิและฮารานากะ จึงทำให้เนื้อส่วนนี้ราคาสูง เนื้อปลาส่วน โอโทโร่ มีสีชมพูอ่อน มีเส้นขาว ๆ แทรกบาง ๆ บ่งบอกว่าเนื้อส่วนนี้อุดมไปด้วยไขมัน เมื่อกินแล้วเนื้อนุ่มละลายในปากจนอยากกินคำต่อไป สำหรับเซฟบางคนอาจเพิ่มความอร่อยด้วยการเบิร์นหน้าเบาๆ เพื่อให้ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติที่ดียิ่งขึ้น
อากามิ (Akami) เนื้อแดง
ส่วนที่มีเนื้อมากที่สุดที่ตัดแยกออกมาจากบริเวณกลางลำตัวของ ปลามากุโระ มีลักษณะเป็นเนื้อแดงไม่ติดมัน จึงมักนิยมนำมาทำเป็น ซูซิ และ ซาซิมิ มากที่สุด เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานเนื้อปลาติดมัน หรือมีไขมันสูง
คามะโทโร่ (Kamatoro) หรือ คามะ (Kama) ไขมันเข้มข้น
เนื้อส่วนนี้จะอยู่ระหว่างซอกเหงือกและคอ หรือคางปลา ในหนึ่งตัวมีเพียง 2 ชิ้นเท่านั้น!! ด้วยความที่เนื้อปลามีไขมันเยอะเนื้อปลาจึงมีสีออกขาวคล้ายกับลายหินอ่อนเลยก็ว่าได้ค่ะ
ปลาทูน่าเหมือนกัน แต่ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน
ปลาทูน่าญี่ปุ่นรวม ๆ จะเรียกว่า ปลามากุโระ แต่ความจริงแล้ว ปลามากุโระมีอยู่หลายสายพันธ์ ทำให้ได้รสชาติ และราคาที่แตกต่างกัน สำหรับปลาทูน่าที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นมีอยู่ 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่
โดยฮอนมากุโระ จากมหาสมุทร ได้รับการยกย่องว่าเป็นปลาที่มีราคาแพงที่สุด และอร่อยมากที่สุด จึงมีฉายาว่า “ราชาแห่งมากุโระ”
ทำไมเนื้อปลาทากุโระ ส่วนโทโร่ถึงฮอตฮิตกันนะ
เนื่องจากเนื้อปลาส่วนโทโร่มีส่วนของเนื้อมากที่สุด ทั้งยังมีส่วนของไขมันตั้งแต่น้อยไปถึงติดมันเยอะ ทำให้สามารถเลือกทานได้ตามใจชอบ จะกินเป็น ซูซิ หรือ ซาซิมิ ก็อร่อยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะฮอนมากุโระช่วงฤดูหนาว เพราะในช่วงนี้ปลาจะสะสมไขมันไว้ใช้ ทำให้ปลามีไขมันที่เยอะที่สุด เนื้อจึงอร่อยมากที่สุด แน่นอนว่าราคาแรงที่สุดเช่นเดียวกัน พอได้กินเนื้อปลาในส่วน ชูโทโร่ ที่ติดมันนิด ๆ จึงมีความนุ่มจากปริมาณไขมันที่แทรกซึมอยู่ระหว่างเนื้อในปริมาณที่พอเหมาะ หรือจะเป็นส่วน โอโทโร่ เนื้อส่วนที่ติดมันเยอะที่สุด ทำให้พอได้กินเข้าไปจะสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มละมุนลิ้นละลายในปาก
ใครชอบแบบไหนอย่าลืมลองสั่ง “ซูซิ” จาก Kabucha Shushi มากินกันนะ เพราะว่าเราได้คัดสรรเนื้อปลามากุโระ เนื้อแน่นสด ๆ ส่งตรงจากตลาดปลาของญี่ปุ่น เมื่อรวมเข้ากับฝีมือการแล่เนื้อปลาจากเซฟที่ไม่แพ้ต้นตำรับทำให้เนื้อปลาไม่เสียรสชาติ พร้อมกับลีลาการปั้นอย่างมืออาชีพที่ใส่ใจทุกชิ้น เพื่อให้คุณได้กินซูซิทุกคำอย่างเอร็ดอร่อย แต่ถ้าอยากกินเนื้อปลาล้วน ๆ ต้องนี้เลย “ซาซิมิ” ชิ้นใหญ่ หนา เต็มคำ รับประกันความอร่อยอย่างแน่นอน!