ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ดีเยี่ยมแต่การเช่ารถขับเที่ยวในญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า หากเพื่อน ๆ เดินทางไปเที่ยวกันหลายคน มีการเปลี่ยนที่พักบ่อย ๆ และมีการวางแผนไปเที่ยวนอกเมืองโดยเฉพาะย่านชนบทที่รถไฟ รถประจำทาง และแท็กซี่เข้าถึงยากหรือมีระยะเวลาการให้บริการที่จำกัด การเช่ารถยนต์ขับจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากคุณต้องการเช่ารถในญี่ปุ่นต้องใช้อะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร รวมถึงกฎจราจรทั่วไป และบริษัทเช่ารถแบบไหน เรามาดูขั้นตอนเตรียมตัวก่อนเช่ารถเที่ยวญี่ปุ่นกันดีกว่า
ในการเช่ารถขับในญี่ปุ่น ตามกฏหมายแล้วผู้ที่สามารถขับรถในญี่ปุ่นได้ต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปี และต้องมีใบขับขี่ของญี่ปุ่นหรือใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ (IDP) ที่ยังไม่หมดอายุ ซึ่งใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศนั้นไม่มีการออกให้ในญี่ปุ่น เราต้องขอใบอนุญาตขับขี่มาจากประเทศไทยเท่านั้น
การทำใบขับขี่สากลเราสามารถ Walk in เข้าไปยังกรมการขนส่งทางบกได้เลยที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 หรือสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่ง พร้อมเอกสารหลักฐานการทำใบขับขี่สากลสำหรับคนไทยที่ต้องการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น ได้แก่
ในกรณีที่เป็นชาวต่างชาติ หลักฐานที่ต้องใช้ได้แก่
สำหรับใบอนุญาตขับขี่สากลที่นำไปใช้ในประเทศญี่ปุ่น ต้องเลือกแบบ “อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ นครเจนีวา ค.ศ. 1949 หรือ อนุสัญญาเจนีวา 1949” เท่านั้น และนำไปใช้ได้ใน 102 ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งมีอายุเพียง 1 ปี โดยมีค่าธรรมเนียม 505 บาท
ในการทำใบขับขี่สากลเราสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาทำแทนได้ โดยเตรียมหลักฐานเพิ่มเติม ดังนี้
สถานที่เช่ารถเรามักพบเห็นได้ทั่วไปตามสนามบิน สถานีรถไฟขนาดใหญ่ และจุดรับรถในเมือง โดยมีแบรนด์รถเช่าให้เลือกมากมาย เช่น Avis , Budget , Times , Orix , Europcar , Toyota และ Nissan หรือเอเจนซี่ที่ให้บริการจองรถผ่านเว็บไซต์อื่น ๆ เช่น Expedia , Kayak และ Rental Cars
ก่อนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นวิธีที่ดีที่สุดเลย คือ การจองรถเช่าล่วงหน้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเพื่อน ๆ สามารถเลือกประเภทของรถเช่าบริษัทต่าง ๆ ได้ว่าต้องการแบบไหน เพราะโดยปกติแล้วรถเช่าจะมีทั้งแบบคอมแพค มาตรฐาน สปอร์ต เอสยูวี และมินิแวน แต่ถ้าให้แนะนำควรเลือกคันเล็กกะทัดรัดจะดีกว่า เพราะถนนส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ในกรณีที่มีเด็กเดินทางมาด้วย อย่าลืมระบุความต้องการว่า “ต้องการคาร์ซีทสำหรับเด็ก” ด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยตลอดการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนเรื่อง GPS รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีมาให้แต่ควรรตรวจสอบก่อนว่ารถที่เช้านั้นมีภาษาอื่นหรือไม่ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
หลังจากทำการจองแล้ว บริษัทเช่ารถจะออกใบจองมาให้ โดยในใบนั้นจะแสดงรายละเอียดการจองต่าง ๆ ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถนำไปนี้ไปแสดงต่อบริษัทรถเช่า พร้อมใบขับขี่สากลและใบขับขี่ไทยด้วย และหนังสือเดินทาง
เมื่อรับรถสิ่งแรกที่ต้องทำเลย คือ การตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ เช็กรอยขีดข่วนของรถรอบคัน ประเภทของเชื้อเพลิงของรถที่เราต้องเติม รายละเอียดประกันภัย และบริการส่วนเสริมต่าง ๆ เช่น คาร์ซีทสำหรับเด็ก และบัตร ETC (บัตรสำหรับเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์) และก่อนคืนรถอย่าลืมเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนด้วยนะคะ โดยคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับการเติมน้ำมัน คือ “เรกูรา (Regular)” หมายถึงน้ำมันเบนซินธรรมดา “ไฮโอคุ” คือน้ำมัน High Octane และ “เคยู” คือน้ำมันดีเซล หากเพื่อน ๆ ต้องการเติมน้ำมันเต็มถังเป็นภาษาญี่ปุ่นให้พูดว่า “Mantan de onegai shimasu” ได้เลย ไม่ยากใช่ไหม?
ในประเทศญี่ปุ่น รถยนต์จะวิ่งทางด้านซ้ายหรือขับเลนซ้ายโดยให้คนขับนั่งอยู่ทางด้านขวาของรถ ความเร็วจำกัดทั่วไปอยู่ที่ 40 กม.ต่อชั่วโมงในเขตเมือง และระหว่าง 80 - 100 กม.ต่อชั่วโมงบนทางหลวง ส่วนทางอื่น ๆ มักจะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 50 - 60 กม.ต่อชั่วโมง และทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่เสมอ สำหรับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ต้องใช้คาร์ซีทเท่านั้น
ห้ามคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ ห้ามมองจอในรถเกิน 2 วินาที เมื่อถึงทางแยกหรือทางข้ามรถไฟต้องชะลอความเร็ว ในกรณีที่มีรถสวนมสงต้องให้รถทางเอกไปก่อน หากมีคนรอข้ามถนนต้องหยุดรถให้คนเดินข้ามทางม้าลายให้เรียบร้อยก่อนถึงจะออกรถได้ หากเห็นป้ายนี้ “止まれ” ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นป้ายให้ “หยุด”
เมื่อขึ้นทางด่วนในญี่ปุ่น คุณจะต้องจ่ายค่าผ่านทางด้วยเงินสดได้ที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง หรือบัตร ETC (ระบบเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์) โดยทั่วไปคุณจะเห็นตัวเลือกช่องทางเดินรถสามช่องทาง:
ตอนนี้เพื่อน ๆ ก็พร้อมที่จะไปเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นกันแล้ว อย่าลืมขับขี่อย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย และคอยสังเกตป้ายจราจรโดยเฉพาะป้ายจำกัดความเร็วกันนะครับจะได้เที่ยวกันอย่างสนุก
เรามาพักเรื่องเที่ยวแล้วไปหาเรื่องกินกันดีกว่า เพราะร้าน Kabocha sushi ร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยมที่มีอาหารญี่ปุ่นมาให้เลือกกันอย่างจุใจกว่า 300 เมนู ไม่ว่าจะเป็นสายซูชิ ซาชิมิ สลัด ซูชิโรล โซบะ มากิ ถ้ามาช่วงกลางวันต้องนี้เลยเซ็ตอาหารมื้อกลางวันสุดคุ้มในราคาสบายกระเป๋า ใครสายดื่มอย่าอย่าลืมสั่งสาเก หรือเบียร์ญี่ปุ่นมาดริงก์กับเพื่อนนะรับรองว่ามื้อนี้ต้องต้องพิเศษขึ้นอย่างแน่นอน ใครที่ชื่บชอบสังสรรค์อยู่บ้านสามารถผ่านอาหารและเครื่องดื่มผ่านทาง Delivery ได้เลย แล้วจะรู้ว่าความสุขล้นจากมื้ออาหารเป็นอย่างไร มื้อน่าอย่าลืมมาอิ่มอร่ยกันที่ ร้าน Kabocha sushi กันนะครับ