วันนี้ Kabocha sushi ขอพาชมงานศิลปะแบบ Digital Art ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ที่ถือ landmarks แห่งใหม่ใครมาโตเกียว แล้วต้องปักหมุดเอาไว้เลย รับรองว่าคุ้มเกินคุ้ม กับการมาเที่ยวครั้งนี้แน่นอน
MORI Building DIGITAL ART MUSEUM: teamLab Borderless Odaiba Palette Town
งานศิลปะภายใต้คอนเซปต์ Borderless โลกของศิลปะ ที่ไร้ขอบเขตซึ่งเป็นศิลปะแบบ Digital Interactive Art คือการให้งานศิลปะกับคน มีปฏิสัมพันธ์กันโดยภายในพิพิธภัณฑ์ จะแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ แต่ละโซนจะมีความพิเศษขนาดไหนตามมาดูกัน
เริ่มกันที่โซนแรก Borderless World
โลกของศิลปะที่ไร้ขอบเขต เป็นงานศิลปะที่มี interactive ระหว่างผู้ชมกับงานศิลปะทั้งภาพ แสง สีเสียง จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามการเคลื่อนไหว ของผู้คนที่เดินเข้ามา โซนนี้จะมีหลายผลงานที่น่าสนใจสุดๆและเป็นโซนที่ถ่ายรูปสวยมาก
Flower Forest ห้องที่เต็มไปด้วยภาพดอกไม้
เรียงรายอยู่เต็มผนังและพื้นของพิพิธภัณฑ์ เมื่อเอามือไปแตะ ดอกไม้ก็จะค่อยๆบานพร้อมมีผีเสื้อโบยบิน ให้ความรู้สึกเหมือนเดินชมดอกไม้อยู่ในสวนเลย
Universe of water particleds
ห้องนี้แอดมินขอแนะนำเลยค่ะ ห้องที่มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีน้ำไหลผ่าน การจัดวางแบบมี layer ทำให้เกิดความสมจริง ยิ่งเวลาเราเดินผ่านทางที่น้ำไหลผ่านน้ำก็ไหลไปทางอื่นเหมือนธรรมชาติมากๆ พอได้เห็นภาพธรรมชาติ ในรูปแบบดิจิทัลแล้วมันสวยงาม กว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
Wander Through the Crystal World
ห้องนี้จะมีไฟคริสตัลเล็ก ๆ ยาวตั้งแต่เพดานจรดพื้น เหมือนเป็นม่านหลอดไฟ โดยพื้นด้านล่างติดเป็นกระจก ยิ่งทำให้ห้องดูกว้าง และมองเห็นเป็นเหวที่ลึกลงไป เราสามารถปรับเปลี่ยนสีของแสงไฟ ได้ด้วย Application จากมือถือของเราเองถือเป็นงานศิลปะ ที่เรามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ เป็นอะไรที่สวยงามและน่ามหัศจรรย์จริง ๆ
Floating Nest
ไฮไลท์ของห้องนี้คือ ให้เราเดินลงไปในห้องมืด ๆ ที่ด้านล่างเป็นเชือกตาข่ายขนาดใหญ่ จะลงไปนั่งหรือนอน มองบนเพดานทรงกลมขนาดใหญ่พร้อมกับชมแสง สี พร้อมกับเสียงที่เปลี่ยนไปเรื่อย เป็นโซนที่เพลินและผ่อนคลายสุด ๆ
Memory of Topography
ทุกฤดูรวมอยู่ในห้องนี้แล้ว เป็นห้องที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล เช่น ทุ่งหญ้าในฤดูร้อน ดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ หรือภาพหิ่งห้อยนับพัน ๆ ภาพรอบตัวที่เคลื่อนไหวได้คล้ายธรรมชาติ ที่เสมือนจริงสุดๆ ให้ความรู้สึก เหมือนได้พักผ่อนกลางธรรมชาติเลยจริง ๆ
มาต่อที่โซน Multi Jumping Universe
โซนนี้ร่างกายของเรามีส่วนร่วมกับงานศิลปะ เต็ม ๆ เพราะทุกๆการเคลื่อนไหวของเรา จะส่งผลให้สีของงานเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นภาพบนพื้นที่เปลี่ยนไป เมื่อเรากระโดด หรืองานศิลปะจะเคลื่อนไหว เมื่อร่างกายเราเคลื่อนไหว เป็นโซนที่สนุกมาก ๆ ไม่ใช่เด็กเท่านั้นที่ Enjoy กับโซนนี้ แต่ผู้ใหญ่อย่างเราก็อยู่โซนนี้จนเพลิน แถมให้ความรู้สึกเหมือนได้วิ่งเล่นสมัยยังเด็กอีกครั้งเลยแหละ
Sketch Aquarium
โซนนี้จะมี Aquarium แบบดิจิทัล ที่เต็มไปด้วยเหล่าบรรดาสัตว์น้ำ จากฝีมือของผู้เข้าชมทุกคน เป็นพื้นที่ที่เราสามารถปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ผ่านการวาดรูปได้เต็มที่
เพราะเมื่อเราวาดรูปสัตว์น้ำที่เราอยากวาด และนำไปสแกน สัตว์น้ำที่เราวาด จะเหมือนถูกเสกให้มีชีวิตแหวกว่ายไปมา อยู่บนผนังของพิพิธภัณฑ์ เป็นโซนที่ให้เราได้แสดงจินตนาการแบบไร้ขีดจำกัด สนุกได้พร้อมกันทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่เลย
Light Ball Orchestra
โซนที่เต็มไปด้วยลูกบอลลูนยักษ์หลากสี ที่เมื่อเราไปสัมผัสสีของบอลลูนจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สนุกกับการกระโดดชนหรือตีขึ้นไปสูง ๆ ให้บอลลูนเปลี่ยนเป็นสีที่ถูกใจ แล้วค่อยแชะรูปคู่กับบอลลูนซักหน่อย
Forest of Resonating Lamps
ห้องมืดที่ได้แสงสว่างจากโคมไฟนับร้อยพัน เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องนี้ เหมือนได้หลุดเข้ามาในป่าของโคมไฟ ความพิเศษของโซนนี้ก็คือ การนำเอาศิลปะ กับร่างกายคน มาเชื่อมโยงกัน สีของโคมไฟ จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่เหมือนกันทุกรอบที่เข้าชม และเมื่อเราเข้าไปใกล้ ๆ สีของโคมไฟก็จะเปลี่ยนไปด้วย มหัศจรรย์สุด ๆ
มาที่โซนสุดท้ายกับ EN Tea House
โซนนี้ นำการชงชาแบบดั้งเดิมของ ญี่ปุ่น มาผสมผสานกับศิลปะแบบ ดิจิทัล ได้อย่างลงตัวสุด ๆ เราจะได้ดูการชงชาสด ๆ และจิบชาไปพร้อม ๆ กับชมความสวยงาม ของดอกไม้บนถ้วยชา ให้คุณได้ดื่มด่ำกับ ชาญี่ปุ่น แท้ๆ และเมื่อดื่มหมดดอกไม้ในแก้วก็จะหายไป เป็นศิลปะที่ได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ที่มีแค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
และยังมีอีกหลายๆโซน ที่รอให้คุณได้ไห้สัมผัส ขอบอกเลยว่าเป็นงานศิลปะที่ดีงามสุด ๆ เหมาะกับทุกเพศทุกวัยจริง ๆ คนที่ชอบเสพงานศิลปะ ชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือชอบถ่ายรูป มาที่นี่จะต้องถูกใจแน่ ส่วนคนไม่ชอบดูงานศิลปะ ถ้าได้ลองมาอาจจะเปลี่ยนความคิดเลยก็ได้นะ รับรองว่าที่นี่จะเปิดประสบการณ์ การดูศิลปะใหม่ ๆ ให้ทุกคนได้ Enjoy กับทุกงานศิลปะแบบที่ไม่เหมือนที่ไหนอย่างแน่นอน จัดเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่จะต้องมาให้ได้เลย
วิธีเดินทาง
-รถไฟ Rinkai Line ลงสถานี Tokyo Teleport
-รถไฟ Yurikamome Line ลงสถานี Aomi
ราคาค่าบัตรเข้าชม
ผู้ใหญ่ (อายุ 15 ปี ขึ้นไป) 3,200 เยน
เด็ก (อายุ 4-14 ปี) 1,000 เยน
🎟 วิธีซื้อตั๋ว
แนะนำว่า ให้ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า เพราะหน้างานคนจะเยอะ และบัตรหมดไวมาก
https://borderless.teamlab.art/
เลือกวันที่จะไป จำนวนตั๋ว และจ่ายเงินโดยใช้บัตรเครดิตเท่านั้น พอซื้อเสร็จจะมีอีเมลส่ง QR Code มาให้ และเราสามารถนำมาสแกนตอนเข้างานได้เลยค่ะ สะดวกสุดๆ
เวลาเปิด-ปิด เดือนธันวาคม
-วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี 10.00 - 19.00
-วันศุกร์ วันเสาร์ และวันก่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ 10.00 - 21.00
-วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 10.00 - 20.00
-หยุดทุกวันอังคารที่ 2 และ 4 ของทุกเดือน
————————————
เวลาทำการอาจมีการเปลี่ยนแปลง แนะนำให้เช็คข้อมูลก่อนทุกครั้ง
โทร. : 03-6406-3949 (10:00-18:00)
คำแนะนำเพิ่มเติม
- ด้านในจะมืด และพื้นที่บางส่วนจะไม่เรียบ แนะนำว่าใส่รองเท้าผ้าใบไป จะเวิร์คที่สุด
- แนะนำให้สวมเสื้อสีพื้นที่ไม่มีลวดลาย จะถ่ายรูปสวยกว่า เพราะด้านในจะเต็มไปด้วยสีสัน และ ลวดลายอยู่แล้ว
- ภายในงานห้ามใช้ไม้เซลฟี่ ขาตั้งกล้อง และห้ามใช้แฟลชนะคะ Tip ถ่ายรูปในที่แสงน้อย
- การถ่าย Portrait ตอนกลางคืน หรือเวลาที่มีแสงน้อย รูรับแสง (f) เป็นสิ่งสำคัญมาก รูรับแสงน้อยกว่า f2 ลงไป เป็นรูรับแสงที่แนะนำ เพราะจะทำให้ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ดี
- เวลาถ่ายรูปในที่ที่มีแสงน้อย แนะนำให้คนไปยืนอยู่หลังแสงไฟ โดยใช้หลอดไฟ หรือโคมไฟ เป็นฉากหน้า เบลอๆ ทำให้คนสว่าง และเด่นขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้แฟลชเลย
- มุมที่แสงด้านหลังค่อนข้างจ้า ลองเปลี่ยนเป็นถ่ายย้อนแสงดู ให้เห็นแค่เงา ทำให้สีของแสงไฟโดดเด่น ก็จะได้ภาพที่เก๋ไปอีกแบบ
- เวลาถ่ายรูปกับแสงไฟ การทำโบเก้เป็นอะไรที่ยอดฮิตสุดๆ และการทำโบเก้สามารถทำในโทรศัพท์มือถือได้ด้วย โดยกดค้างหน้าจอที่วัตถุใกล้ เพื่อล็อกโฟกัสก่อน จากนั้นแพนกล้องไปมุมที่ต้องการถ่ายจริง ก็จะได้โบเก้สวยๆแล้ว